อุตสาหกรรมบล็อกเชนในไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เหตุการณ์ล่าสุดเผยให้เห็นถึงความเสี่ยงและความเปราะบางของบล็อกเชนแบบ Centralized จากข่าวการปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ของ xCHAIN แพลตฟอร์มบล็อกเชนเจ้าดังในไทย เป็นเรื่องราวที่น่าเตือนใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนระบบ Centralized ส่งผลให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างระบบรวมศูนย์และแบบกระจายศูนย์ เน้นย้ำความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งปลอดภัยและเชื่อถือได้
Decentralized vs Centralized
บล็อกเชนแบบรวมศูนย์ (Centralized) อย่าง xCHAIN ใช้ระบบ PoA (Proof of Authority) ฉันทามติที่อ้างอิง “ชื่อเสียง” ของผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator Node) แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่พัฒนาขึ้นโดยกลุ่ม Thailand Blockchain Working Group (TBWG) ทำงานภายใต้การควบคุมของหน่วยงานหรือองค์กรเดียว โครงสร้างนี้แม้จะนำมาซึ่งประสิทธิภาพบางอย่าง แต่ก็มีความเสี่ยงจากการควบคุม หมายความว่าทั้งบล็อกเชนสามารถถูกจัดการหรือปิดโดยหน่วยงานที่ควบคุมหรือผู้ไม่หวังดี
ในกรณีของ xCHAIN แพลตฟอร์มนี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ (ecosystem) ทั้งหมดรวมถึง Dapp (Decentralized applications) และโทเคนดิจิทัลที่อยู่ในเชน
ตัวอย่าง KGO Token (Knowledge Governance Token) Digital Economy ประจำจังหวัดขอนแก่น ที่ต้องการผลักดัน Smart City เพื่อประชาชน Metaverse ประจำขอนแก่นอาจต้องดับฝันลงและย้ายแผนไปยังเชนอื่น
ในทางกลับกัน บล็อกเชนแบบกระจายกระจายศูนย์ (Decentralized) อย่าง Bitcoin, Ethereum และ Jibchain (JBC) แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่เหนือกว่า ระบบเหล่านี้ทำงานบนเทคโนโลยี Distributed Ledger Technology ซึ่งไม่ขึ้นกับโฮสต์หรืออำนาจใดเพียงคนเดียว ทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัย ปราศจากการปิดกั้นหรือการแทรกแซงภายนอก ไม่มีใครสามารถมาปิดระบบนี้ได้
บวกกับระยะเวลาที่กำหนดไม่ได้เมื่อผู้พัฒนาต้องปรับเปลี่ยนระบบทั้งหมดของโปรเจคที่สร้างมาจนมีผู้ใช้งานแล้วเพื่อให้สามารถย้ายไปยังเชนอื่นได้ การที่เชนต้องปิดตัวลงส่งผลกระทบกับโปรเจคทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและเวลาในการพัฒนา
Jib Chain (JBC) ตัวอย่างของบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์
Jibchain (JBC) เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) แพลตฟอร์มนี้ทำงานอย่างอิสระ มอบประสบการณ์บล็อกเชนที่ปลอดภัยและต่อเนื่อง โครงสร้างอันแข็งแกร่งของ Jibchain แสดงให้เห็นศักยภาพของระบบแบบกระจายศูนย์ในการเป็นฐานที่มั่นคงและเชื่อถือได้สำหรับธุรกรรมดิจิทัลและDApp (Decentralized Application) ต่างๆ ( JIBSwap, JBCBridge, Marketplace ฯลฯ)
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JBC หรือ JIB Chain คืออะไร ?
อนาคตของบล็อกเชน
การปิดตัวลงของ xCHAIN เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนไปใช้โซลูชันบล็อกเชนกระจายกระจายศูนย์ (Decentralized) ซึ่งมีความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือมากกว่า เหตุการณ์นี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของระบบและอำนาจในการรักษาความสมบูรณ์และความต่อเนื่องของเครือข่ายบล็อกเชน
บล็อกเชนทำงานอย่างไร?
- ธุรกรรมบนบล็อกเชนได้รับการประมวลผลและตรวจสอบโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าโหนด เมื่อผู้ใช้เริ่มต้นธุรกรรม ธุรกรรมนั้นจะถูกส่งไปยังเครือข่ายและเพิ่มลงในกลุ่มของธุรกรรมที่ยังไม่ยืนยัน ซึ่งเรียกว่า mempool
- นักขุดเป็นโหนดที่รับผิดชอบในการตรวจสอบธุรกรรมและเพิ่มลงในบล็อกเชน พวกเขาทำเช่นนี้โดยการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่าการขุด เมื่อนักขุดประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาและเพิ่มบล็อกใหม่ให้กับเชน พวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นสกุลเงินดิจิทัลจำนวนเล็กน้อย
- กระบวนการตรวจสอบธุรกรรมและเพิ่มลงใน blockchain เรียกว่าฉันทามติ เพื่อให้ธุรกรรมได้รับการพิจารณาว่าถูกต้องและเพิ่มลงใน blockchain จะต้องได้รับการยินยอมจากโหนดส่วนใหญ่ในเครือข่าย สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าประวัติการทำธุรกรรมนั้นถูกต้องและไม่สามารถแก้ไขได้
- Smart contracts เป็นสัญญาที่ดำเนินการเองโดยมีเงื่อนไขของข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่เขียนลงในบรรทัดของรหัสโดยตรง รหัสและข้อตกลงที่อยู่ในนั้นจะถูกจัดเก็บและทำซ้ำบนเครือข่ายบล็อกเชน สัญญาอัจฉริยะช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นอัตโนมัติและสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการเงิน
ประโยชน์ของการใช้บล็อกเชนคืออะไร?
- ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: ประโยชน์หลักประการหนึ่งของการใช้บล็อกเชนคือให้ความปลอดภัยในระดับสูงสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน การทำธุรกรรมบนบล็อกเชนนั้นได้รับการเข้ารหัสและมีการแนบลายเซ็นดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงหรือแก้ไขข้อมูลได้ยาก นอกจากนี้ ลักษณะการกระจายอำนาจของบล็อกเชนหมายความว่าไม่มีจุดใดล้มเหลว ทำให้ทนทานต่อการปลอมแปลงและการฉ้อโกง
- ความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้น: เนื่องจากธุรกรรมทั้งหมดบนบล็อกเชนได้รับการบันทึกและจัดเก็บไว้ในบัญชีแยกประเภทสาธารณะ จึงมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ง่าย สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การจัดการห่วงโซ่อุปทานและระบบการลงคะแนนเสียง
- ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น: การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้โดยขจัดความจำเป็นในการใช้ตัวกลาง เช่น ธนาคาร เพื่อดำเนินการธุรกรรม สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การทำธุรกรรมทางการเงินที่รวดเร็วและถูกลง เช่นเดียวกับการปรับปรุงการจัดการห่วงโซ่อุปทานและกระบวนการอื่นๆ
ความเป็นไปได้ของแอปพลิเคชั่นในระบบ blockchain ในปัจจุบันและในอนาคตมีอะไรบ้าง?
- การเงิน: สถาบันการเงินหลายแห่ง รวมถึงธนาคารและผู้ประมวลผลการชำระเงิน กำลังสำรวจการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อปรับปรุงธุรกรรมทางการเงินให้คล่องตัวและลดความเสี่ยงของการฉ้อโกง
- การจัดการห่วงโซ่อุปทาน: บางบริษัทใช้บล็อกเชนเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าผ่านห่วงโซ่อุปทาน ทำให้มีความโปร่งใสและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
- รัฐบาล: รัฐบาลบางแห่งกำลังทดลองใช้บล็อกเชนสำหรับระบบการลงคะแนน การยืนยันตัวตน และแอปพลิเคชันอื่นๆ
- การดูแลสุขภาพ: เทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพในการปรับปรุงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพอื่นๆ
ในอนาคต มีแนวโน้มว่าบล็อกเชนจะถูกใช้ในอุตสาหกรรมและแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น อาจใช้สำหรับการยืนยันตัวตนและการแบ่งปันข้อมูล เช่นเดียวกับในขอบเขตของอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) และเมืองอัจฉริยะ
บทสรุป
เทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่หลากหลายโดยเพิ่มความปลอดภัย ความโปร่งใส และประสิทธิภาพ ลักษณะการกระจายอำนาจและการใช้การเข้ารหัสทำให้มันทนทานต่อการปลอมแปลงและการฉ้อโกง และได้รับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย รวมถึงการเงิน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และรัฐบาล
เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชนยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้รับการนำไปใช้โดยองค์กรและอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น จึงมีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อวิธีที่เราดำเนินธุรกิจและแลกเปลี่ยนข้อมูล เราควรสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศักยภาพของบล็อกเชน มีแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมายที่สามารถให้ข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมและอัปเดตเกี่ยวกับการพัฒนาล่าสุดในสาขาที่น่าตื่นเต้นและพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้
Leave feedback about this