DePIN (Decentralized Physical Infrastructure Networks) ความหมายตรงตัวเลยก็คือเอาบล็อกเชนมาผสานกับโครงสร้างพื้นฐานในโลกความจริง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เก็บข้อมูล สัญญาณอินเตอร์เน็ต เซนเซอร์ หรือแม้แต่ระบบไฟฟ้า
อาศัยระบบจากคริปโทที่ไร้ตัวกลาง เพื่อจูงใจให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่งปันทรัพยากรเหล่านี้ คล้ายๆการจ้างงานแบบไร้ตัวกลาง เหมือนเป็นการสร้างทางเลือกที่ decentralized ท้าทายระบบเดิมที่มักถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่

จาก CoinGecko บอกว่า มูลค่า Market cap ของ DePIN ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ $26 billion แซงหน้าทั้ง DEX และ Oracle tokens ไปเลย
เดี๋ยวเราไปเจาะลึกกันต่อว่า DePIN มันทำงานยังไง
DePIN คล้ายคลึง peer-2-peer (P2P) ที่อาศัยพลังของมวลชน ที่ใครๆก็สามารถเอาระบบ Infrastructure ของตัวเองมาแชร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เก็บข้อมูล สัญญาณอินเตอร์เน็ต เซนเซอร์ หรือแม้แต่ระบบไฟฟ้า ซึ่งคนที่แชร์ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะได้รับรางวัลเป็นโทเค็นตามกฎของแต่ละโปรโตคอล
ตัวอย่าง DePIN ที่น่าสนใจ
- Silencio Network เค้าทำเป็นเครือข่ายเก็บข้อมูลเสียงรบกวนในพื้นที่ เวลาเราไปติดตั้งแอพของเค้าไว้ในมือถือ แอพก็จะทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์เก็บข้อมูลเสียงรอบตัว เวลาแชร์ข้อมูลออกไป เราก็จะได้รับ $SLC เป็นการตอบแทน
- Grass ปล่อยเช่าเน็ต แล้วดึงเอาเน็ตบางส่วนไปดึงข้อมูลเพื่อพัฒนา AI มั้งงงงง อ่านเนื้อหาเกี่ยวกับ Grass แบบครบถ้วน
- IO.NET แชร์แบนด์วิธการ์ดจอที่ไม่ใช้งาน เราก็จะได้รับ $IO เป็นการตอบแทน
โดยรวมแล้วเหมือนมาช่วยทลายกำแพงทางธุรกิจจากระบบ centralized เดิมๆ ตัวอย่างกลุ่ม cloud storage services ปกติเจ้าใหญ่เป็นคนสร้างพื้นที่เก็บข้อมูลเอง แต่ DePIN เปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วม ใครๆ ก็มีโอกาสสร้างรายได้ แถมยังช่วยลดต้นทุนในการสร้าง Infrastructure อีกด้วย
ยิ่งมีคนเข้าร่วม DePIN มากเท่าไหร่ เครือข่ายก็ยิ่งมีมูลค่ามากขึ้นเท่านั้น เพราะทุกคนต่างก็เอาระบบของตัวเองมาช่วยกันขยายเครือข่าย สุดท้ายมันก็ไปเสริมสร้างซึ่งกันและกัน คนทั่วไปได้ประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐานก็แข็งแรง sustainable มากขึ้น
เจาะ วิธีการทำงานของ DePIN
DePIN networks เชื่อมต่อโลกบล็อกเชนกับโลกจริงในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
องค์ประกอบสำคัญในการทำงานของ DePIN
- Physical infrastructure: ก็คือ facilities ในการส่งข้อมูล ทรัพยากร หรือข้อมูลภายในเครือข่าย จัดการโดย service providers ซึ่งบางที providers เหล่านี้อาจจะมีอยู่แล้วก่อนที่จะเอามาใช้กับ DePIN ตัวอย่างเช่น เราเตอร์ เซนเซอร์ และ networking equipment
- Blockchain Architecture: โปรเจค DePIN จะอาศัยโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนในการรัน Smart Contract เก็บค่าธรรมเนียม และแจกเป็นรางวัลให้กับผู้เข้าร่วม build on chain หรือ layer-1 นอกเชนก็ได้ อย่าง peaq กำลังเป็นที่นิยมในฐานะแหล่งรวมของ DePIN เนื่องจากเป็น friendly ecosystem และมีฟังก์ชั่นอย่าง Modular DePIN Functions อีกด้วย
- Off-Chain Network: DePIN protocol networks จะเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมข้อมูลนอกเชน สามารถซื้อหรือขายทรัพยากรที่จำเป็น เช่น พลังประมวลผล พื้นที่เก็บข้อมูล และการเชื่อมต่อจาก external service providers
- Token Rewards: ผู้เข้าร่วมที่ช่วยเหลือโปรโตคอลจะได้รับรางวัลเป็นโทเค็น

ประเภทของ DePIN
DePIN แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- Physical Resource Networks (PRNs): ก็คือ location-based physical infrastructures ผู้ใช้จะได้รับรางวัลตอบแทนจากการแชร์ location-based hardware resources เช่น การเชื่อมต่อ พลังงาน หรือข้อมูลทางภูมิศาสตร์
- Digital Resource Networks (DRNs): ทรัพยากรเหล่านี้ไม่ได้อยู่จากสถานที่ตายตัว เป็น digital resources ทั่วไปไม่ได้เกี่ยวข้องกับ location data เช่น พื้นที่เก็บข้อมูล แบนด์วิธ

DePIN Flywheel
ก็คือ Self-Sustainability cycle หมายความว่ายิ่งมีคนเข้ามามากเท่าไหร่ เครือข่ายก็ยิ่งโตและแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น บางคนอาจจะมีทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว พอเอามาใช้กับ DePIN ก็สามารถสร้างรายได้ ยิ่งมีคนเอาระบบของตัวเองมาแชร์มากเท่าไหร่ DePIN network ก็ยิ่งใหญ่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมค่าใช้บริการต่างๆ ยังถูกกว่าเจ้าใหญ่อีกด้วย
ดึงดูดทั้งผู้ใช้ และตัว protocol ก็มีรายได้จากค่าธรรมเนียม ส่วนคนที่แชร์ทรัพยากรก็จะได้รับรางวัลเป็นโทเค็น ยิ่งมีคนต้องการใช้บริการมากเท่าไหร่ มูลค่าของโทเค็นภายในเครือข่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ที่แชร์ทรัพยากรได้รับรางวัลมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะดึงดูดคนเข้ามามากขึ้นอีก
นอกจากนี้ การที่มีคนเอาระบบของตัวเองมาแชร์มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เครือข่าย DePIN มีพื้นที่มากขึ้น ส่งผลให้รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้นและมีบริการที่หลากหลายเพิ่มขึ้นด้วย การเติบโตนี้จะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาให้เงินทุนและสนับสนุน ซึ่งจะยิ่งทำให้ DePIN เติบโตเร็วขึ้นไปอีกขั้น
ข้อดีของ DePIN
- เข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องขออนุญาต
- ขยายเครือข่ายได้รวดเร็ว ไร้พรมแดน
- ต้นทุนต่ำ เพราะอาศัยการระดมทุนจากผู้คน
- บริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบมีความปลอดภัยสูง
ความปลอดภัยของ DePIN
เนื่องด้วยตัวโมเดลของ DePIN ได้รับความสนใจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความปลอดภัยจึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญที่โปรโตคอล DePIN ควรคำนึงถึง
- DePIN protocols สามารถใช้การเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องข้อมูลที่ถูกส่งผ่านภายในเครือข่าย
- DePIN protocols สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อสร้างความคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงของข้อมูล (data immutability) ซึ่งจะช่วยปกป้องความสมบูรณ์ของเครือข่ายและรักษาความโปร่งใส
- ตรวจสอบ smart contract audits อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยหาจุดอ่อนและช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับผู้ใช้
- ระวังกลลวงทางสังคม (social engineering) และควรระมัดระวังข้อความ อีเมล หรือโทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก ซึ่งขอข้อมูลส่วนตัวหรือขอให้คุณอนุมัติธุรกรรม
- ใช้รหัสผ่านที่หนาแน่นและปลอดภัย และใช้ multi-factor authentication ซึ่งถ้ามีก็ควรใช้
- การขอ Permission บางอย่างในเว็บไซต์และบนแอป ข้อนี้ควรตรวจสอบให้ดีเพราะข้อมูลบางอย่างที่เค้าขอมาอาจเป็นการล้วงข้อมูลที่มีค่าหรือการ hack ผ่านระบบไปได้
สรุป
จริงๆ แล้ว DePIN คือการนำ Web3 เข้ามาสู่โลกแห่งความจริง มันคือการนำเอากรอบคิดแบบบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเช่ารถหรือการซื้อกาแฟระหว่างทางไปทำงาน ศักยภาพของ DePIN นั้นปฏิวัติวงการเลยทีเดียว แต่ด้วยความที่มันเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความจริง มันก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายในโลกแห่งความจริงได้ด้วย
ดังนั้น ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ DePIN ซึ่งการตรวจสอบโดยบริษัทด้านความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ผู้สร้าง DePIN ทุกคนควรพิจารณา
DePIN เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างสรรค์ในการนำบริการดั้งเดิมมาสู่บล็อกเชนและ Web3 มูลค่าตลาดของบริษัทศูนย์กลางที่ให้บริการเหล่านี้ เช่น Amazon และ Microsoft อยู่ที่ระดับล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกันแล้ว โครงสร้างพื้นฐานด้านคริปโตอย่าง DePIN ยังมีอีกหลายขั้นที่จะต้องก้าวไป
โมเดลของ DePIN นั้นน่าประทับใจมาก ถ้าหากนำไปใช้อย่างประสบความสำเร็จ โปรโตคอล DePIN ก็สามารถยั่งยืนด้วยตัวเองได้ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ แม้ว่า DePIN จะมีศักยภาพ
แต่ก็อาจจะมีข้อเสียอยู่บ้าง ซึ่งบางข้อเสียเรายังไม่รู้จัก เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนา
Leave feedback about this